1st class white logo

สธ.ชูความสำเร็จงานวิจัยกัญชา 60 เรื่องผลักดันไทยเป็นเมดิคัลฮับ

Table of Contents

นพ.กิตติ โล่สุวรรณรักษ์  ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์  สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการรวบรวมผลงานวิจัยกัญชาทางการแพทย์ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุข  ทั้ง กรมวิชาการ โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณาสุข องค์การเภสัชกรรม และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ตั้งแต่มีการอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ทางการแพทย์  ในปี 2562 พบว่ามีงานวิจัยทั้งสิ้น 60 ฉบับ  โดยเป็นการศึกษาด้านการนำไปใช้ประโยชน์สูงสุด 31 ฉบับ (55.00%) รองลงมาเป็นการศึกษาผลกระทบเชิงนโยบายและการออกแบบระบบ 14 ฉบับ (23.34%) การศึกษาสายพันธุ์และการปลูกที่มีประสิทธิภาพ 8 ฉบับ (13.33%) และน้อยที่สุดเป็นเรื่องการพัฒนาสูตรตำรับและผลิต 5 ฉบับ (8.33%) 

ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ กล่าวต่อว่า เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ทำให้เห็นแนวทางของการศึกษาวิจัยต่อยอดใน 3 กลุ่มโรคหรืออาการ ได้แก่ มะเร็ง   นอนไม่หลับ และปัญหาสุขภาพจิตที่การรักษาด้วยวิธีมาตรฐานไม่ได้ผล ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการวิจัยทั่วโลก  ในส่วนของมะเร็งนั้นแม้ยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนว่ายากัญชารักษามะเร็งได้   แต่จากการการทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดกัญชาของกรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า สารสกัดที่มีความเข้มข้นของ THC และ CBD ที่แตกต่างกันสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง โดยที่กรมการแพทย์กำลังวางแผนวิจัยเพิ่มเติม 

อย่างไรก็ตาม นพ.กิตติ ระบุว่า จากงานวิจัยหลายชิ้นที่ดำเนินการโดยกรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และโรงพยาบาลหลายแห่งในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ผลที่ตรงกัน คือ ยากัญชาช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย ซึ่งการวิจัยเหล่านี้เป็นหลักฐานสนับสนุนให้มีการคัดเลือกยากัญชาทั้งสองตำรับ คือ THC เด่น และ THC:CBD (1:1) เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาเหล่านี้ได้มากขึ้น   ในประเด็นเรื่องบรรเทาอาการนอนไม่หลับนั้นพบว่า ยาแผนไทยหลายตำรับ ทั้งยาศุขไสยาศน์  ยาน้ำมันกัญชาอาจารย์เดชา และยาน้ำมันกัญชาทั้ง 5  มีประสิทธิผลในการบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ปัจจุบันทางกรมการแพทย์แผนไทยฯ และโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กำลังศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของแต่ละตำรับว่ามีกลไกการออกฤทธิ์ที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร  เพื่อทำให้เข้าใจและใช้ยาได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น  รวมทั้งสามารถใช้เพื่อทดแทนยาแผนปัจจุบันได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายในกลุ่มโรคทางจิตเวช ที่หลายโรคยังตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานได้ไม่ดีนัก กรมสุขภาพจิตก็ได้ตั้งเป้าวิจัยเพื่อหาทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัย เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ

ผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า ทั้งนี้ งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ผู้สั่งใช้ยาและประชาชนเกิดความมั่นใจ จากรายงานการตรวจราชการพบว่า ในปี 2565 ไตรมาสที่ 3 จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากัญชาทางการแพทย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2664 เมื่อผู้ป่วยต้องการยามากขึ้นก็ส่งผลให้มีภาคเอกชนเข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รายงานว่า มีผู้ประกอบการที่เข้ามาในตลาดจำนวนมาก ถึงแม้ยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรกลุ่มรักษาโรคยังมีน้อยเมื่อเทียบกับอาหารและเครื่องสำอาง แต่ก็มีผู้สนใจสอบถามแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขึ้นทะเบียนมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก็พบว่า ยังมีภาคเอกชนที่สนใจต่อยอดการให้บริการในโรคที่การรักษามาตรฐานยังไม่ได้ผลดีให้กับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

“ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเมดิคัล ฮับของรัฐบาล เพื่อเร่งหารายได้เข้าประเทศ  นอกจากการเปิดปลายทางของห่วงโซ่ให้ชัดเจน กระทรวงสาธารณสุขยังให้ความสำคัญกับการติดตามและกำกับผลกระทบจากนโยบายกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งรับผิดชอบหลักโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงการพัฒนาต้นทางโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมการแพทย์แผนไทยฯ เช่น การพัฒนาสายพันธุ์กัญชาไทย  การศึกษาการปลูกที่มีประสิทธิภาพ  โดยมีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ  และในปัจจุบันกำลังศึกษาสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับ 3  โรค รวมถึงอาการที่กระทรวงกำลังให้ความสนใจ  การวิจัยหลังจากนี้น่าจะดำเนินการได้เร็วขึ้น เพราะเริ่มเห็นกลุ่มโรคที่ได้ผลดีชัดเจนแล้ว ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ก็เริ่มผ่อนคลาย บุคลากรจะได้ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวิจัยมากขึ้น” ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์กล่าวในตอนท้าย

source : www.banmuang.co.th/news/bangkok/288334?fbclid=IwAR1oQKUZZ67-vfAP6XN3c4cbFACvl6Ikn0gG8AgMqljbR6UzlEVDP1GP3_Q

ทำไมเราถึงต้องรู้จักกัญ
ทำไมเราต้องรู้เรื่องกัญชา? เพราะกัญชาเกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมในการรักษาโรค

กัญชา กับ รักษาโรค กัญชา เคยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และต่อมาประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้เมื่อ 9 มิ.ย. 2565 รักษาโรค โดยใช้ส่วนของพืชกัญชา-กัญชง ไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้นสารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนาบินอล (Tetrahydrocannabinol

Read More »